สนค.เผยร้านค้าปลีกอียูปรับตัวเป็นดิสเคาน์เตอร์หลังผลกระทบโควิด-19 ชี้มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แนะผู้ส่งออกปรับตัวทั้งบรรจุภัณฑ์ที่ขนส่งง่าย แข็งแรง รองรับการค้าออนไลน์ สินค้าต้องเล็กลงเพื่อให้ขายในตู้อัตโนมัติได้ พร้อมใช้ช่องทางออนไลน์เจาะตลาด
นายภูสิต
รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
เปิดเผยว่า สนค. ได้ศึกษารูปแบบและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของร้านค้าปลีก
ในสหภาพยุโรปหรืออียู ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นการสร้างโอกาสทางการค้าใหม่ ๆ ให้ผู้ส่งออกของไทย
โดยผลการศึกษา พบว่า
ร้านค้าปลีกในสหภาพยุโรปได้มีการเปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “ดิสเคาน์เตอร์”
(Discounter)
มากขึ้น โดยเน้นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคสำหรับชีวิตประจำวันที่มีคุณภาพในราคาถูกที่สุดเป็นหลัก
ด้วยหลักการบริหารและจัดการรูปแบบใหม่ และทำให้ร้านค้าปลีกแบบเดิม ๆ
มีแนวโน้มจะปรับเปลี่ยนเป็นแบบ Discounter เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน
สำหรับปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้ร้านค้าปลีกทั่วไปก้าวไปสู่การเป็นดิสเคาน์เตอร์มากขึ้น
เพราะการระบาดของโควิด-19 ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง
แต่ร้านแบบดิสเคาน์เตอร์มีการเติบโตขึ้นต่อเนื่อง
เพราะมีวิธีการบริหารจัดการที่ดีกว่า มีการปรับตัวรวดเร็ว นำช่องทางออนไลน์มาใช้
มีการเสนอขายสินค้าอย่างเป็นระบบ ใช้การสื่อสารที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่
พร้อมส่วนลดที่ดึงดูดผู้บริโภค ช่วยขยายฐานลูกค้าได้อย่างมาก
และในอนาคตอาจเปลี่ยนไปเป็นร้านค้าออนไลน์เต็มรูปแบบในที่สุด แต่ร้านรูปแบบอื่น
ยังอาศัยการขายแบบเก่าที่เน้นให้คนเข้ามาเดินเลือกซื้อ ไม่มีระบบขนส่งสินค้า
ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าร้านแบบดิสเคาน์เตอร์มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น โดยในรอบ 10 ปี
(2010-2020) มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 9% ต่อปี ขณะเดียวกันร้านแบบดิสเคาน์เตอร์
ยังตอบโจทย์ผู้บริโภคในเรื่องการส่งมอบ “คุณค่า” ของผลิตภัณฑ์ ได้แก่
ความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ความสะดวก คุณภาพและความสดใหม่ของสินค้า ตลอดจนการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของท้องถิ่น
นายภูสิต
กล่าวว่า
สำหรับโอกาสในการผลักดันการส่งออกสินค้าไทยเข้าสู่ร้านค้าแบบดิสเคาน์เตอร์
สินค้าจะต้องอยู่ในรูปแบบที่ขนส่งได้ง่าย
เพราะการซื้อขายออนไลน์ต้องอาศัยการขนส่งเป็นสำคัญ
บรรจุภัณฑ์ไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินไป หรือยากต่อการวางรวมกับสินค้าอื่น
แต่ต้องมีความแข็งแรงที่วางซ้อนกันได้ และต้องปรับขนาดผลิตภัณฑ์ให้เล็กลง
เพื่อให้สามารถขายในตู้ขายอัตโนมัติได้
เพราะเป็นช่องทางใหม่ที่จะทำให้สินค้าขายออกได้ง่ายและรวดเร็ว
โดยเฉพาะสินค้าอาหารกึ่งสำเร็จรูป หรือสินค้าที่ใช้ในครัวเรือนทั่วไป
นอกจากนี้
ผู้ผลิตควรปรับนโยบายการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดูแลสวัสดิภาพของสัตว์
และมีธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น
เนื่องจากผู้บริโภคมีความอ่อนไหวต่อประเด็นดังกล่าว
และยังช่วยป้องกันการกีดกันทางการค้าที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ส่วนฉลากจะต้องมีข้อมูลที่แสดงความน่าเชื่อถือ
คุณค่าของผลิตภัณฑ์ และมีฐานข้อมูลที่จำเป็นและตรวจสอบได้ผ่าน QR
Code หรือ Bar Code โดยเทคโนโลยีบล็อกเชน
ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจในการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค ส่วนช่องทางการส่งเสริมสินค้าไทย
ควรใช้ช่องทางไทยเทรดดอทคอม (Thaitrade.com) โดยเชื่อมโยงกับระบบการค้าออนไลน์ของบรรดาห้างค้าปลีก
และเข้าไปในช่องทางที่หลากหลายมากขึ้น
รวมถึงการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อดิจิทัลในรูปแบบต่างๆ
เพื่อให้สินค้าไทยกระจายได้หลากหลายช่องทาง การตั้งแฟลกชิปสโตร์ (Flagship
Store) เช่นเดียวกับร้านท็อปไทย (TopThai) ที่ขายสินค้าบนแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ของจีน
สำหรับร้านค้าปลีกแบบดิสเคาน์เตอร์
มีลักษณะการบริหารงาน 4 ประเด็น ได้แก่ 1.
การคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่ขายในดิสเคาน์เตอร์มีความเข้มข้นมากกว่าร้านค้าปลีกทั่วไป
เพราะผู้บริโภคจะต้องเชื่อมั่นได้ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ จัดจำหน่ายได้เร็ว
และมีปริมาณมาก เพื่อจะได้ไม่สิ้นเปลืองต้นทุนด้านผลิตภัณฑ์
มีการบริหารสต็อกและการจัดส่งผลิตภัณฑ์ที่ดี 2.
มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทเฮ้าส์แบรนด์ (House Brand) ที่หลากหลายขึ้น ซึ่งเป็นสินค้าที่เป็นแบรนด์ของห้างเอง ไม่ได้เน้นเฉพาะสินค้าราคาถูกที่สุดเพียงไม่กี่แบรนด์
เพื่อให้สามารถนำเสนอคุณค่าแก่ผู้บริโภคในราคาต่ำที่สุดได้ 3. ไม่มีบริการ
หรือสิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่าง เช่น รถเข็น หรือถุงบรรจุผลิตภัณฑ์
เพื่อควบคุมต้นทุนการดำเนินงานให้ต่ำที่สุด และ 4. มีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
อาทิ การบริหารสาขา มีระบบโลจิสติกส์เป็นของตัวเอง
และมีระบบการชำระเงินในรูปแบบออนไลน์ เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.bangkokbiznews.com/